วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2559

การสืบพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต

การสืบพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต

 1. การแตกหน่อ (Budding) 

เป็นการสืบพันธุ์ของสัตว์ชั้นต่ำ โดยเมื่อเจริญเติบโตเต็มที่แล้วจะมีการสร้างเนื้อเยื่อข้างลำตัวงอกออกมา แล้วเจริญเติบโตเป็นตัวเล็ก ๆ ที่มีอวัยวะต่าง ๆ เหมือนตัวแม่ หลังจากติดอยู่กับตัวแม่ระยะหนึ่งก็จะหลุดออกมาไปอยู่อิสระตามลำพัง สัตว์ที่มีการสืบพันธุ์ลักษณะนี้ได้แก่

ไฮดรา หนอนตัวแบน ฟองน้ำ ปะการัง และสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว (พวกโพรติสต์) เช่น ยีสต์ ไฮดราฟองน้ำ ในพืชชั้นสูงก็มีพวก ขิง ข่า กล้วย หน่อไม้ เป็นต้น –

โพรติสต์ หมายถึง สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวหรือหลายเซลล์ที่ไม่อาจจัดเป็นพืชหรือสัตว์ได้อย่างชัดเจน เช่น เห็ด รา ยีสต์ โปรโตซัว ไวรัส สาหร่ายสีเขียว สาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน เป็นต้น –ไฮดรา (Hydra) เป็นสัตว์ชั้นต่ำประกอบด้วยเซลล์หลายเซลล์ มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ลำตัวคล้ายเส้นด้าย มีขนาดประมาณ 0.5 – 1 มิลลิเมตร ยาวประมาณ 0.5 – 1 เซนติเมตร มีหนวดเป็นเส้นยาว 4 – 12 เส้นลำตัวสีขาวขุ่น แต่บางชนิดมีสีเขียว ซึ่งเกิดจากสาหร่ายสีเขียวที่อาศัยอยู่ในตัวไฮดรา จึงทำให้สามารถสังเคราะห์แสงได้ อาหารของไฮดรา คือ ไรน้ำและตัวอ่อนของแมลงในน้ำ

ไฮดราสามารถสืบพันธุ์ได้ทั้งแบบไม่อาศัยเพศและแบบอาศัยเพศ ดังนี้

การสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศของไฮดรา เมื่อไฮดราเจริญเติบโตเต็มวัย จะมีการสร้างเนื้อเยื่อข้างลำตัวงอกออกมา แล้วเจริญเติบโตเป็นไฮดราตัวเล็ก ๆ หลังจากนั้นก็จะหลุดออกไปอยู่ตามลำพังได้เอง การสืบพันธุ์แบบนี้ เรียกว่า การแตกหน่อ (Budding)

การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศของไฮดรา ไฮดรามีการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศได้ แต่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก ซึ่งจะเกิดขึ้นในกรณีที่อาหารไม่สมบูรณ์ ไฮดราจะมี 2 เพศอยู่ในตัวเดียวกัน โดยมีรังไข่อยู่ข้างลำตัว ลักษณะเป็นปุ่มใหญ่เหนือรังไข่บริเวณใกล้ ๆ หนวด (Tentacle) จะมีอัณฑะเป็นปุ่มเล็ก ๆ รังไข่จะผลิตเซลล์ไข่ และอัณฑะจะผลิตเซลล์อสุจิ โดยปกติไข่และตัวอสุจิจะเติบโตไม่พร้อมกัน จึงต้องผสมกับตัวอื่น ตัวอสุจิจากไฮดราตัวหนึ่งจะว่ายน้ำไปผสมกับไข่ที่สุกในรังไข่ของไฮดราตัวอื่นไข่ที่ผสมแล้วจะเป็นไซโกตซึ่งจะเจริญเติบโตอยู่กับตัวแม่ระยะหนึ่งจึงจะหลุดออกไปจากตัวแม่ แล้วเจริญเป็นไฮดราตัวใหม่ต่อไป

2. การแบ่ง ตัวออกเป็นสอง (Binary Fission) เกิดขึ้นกับสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว (พวกโพรติสต์) ได้แก่ อะมีบา พารามีเซียม ยูกลีนา และแบคทีเรีย การสืบพันธุ์วิธีนี้เกิดขึ้นโดยการแบ่งตัวจาก 1 เซลล์เป็น 2 เซลล์ โดยนิวเคลียสของเซลล์จะแบ่งตัวก่อน แล้วไซโทพลาซึมจะแบ่งตามได้เป็นตัวใหม่ 2 ตัว ซึ่งแต่ละตัวจะมีลักษณะเหมือนตัวเดิมทุกประการ เช่น การแบ่งตัวของอะมีบา

 3.การงอกใหม่ (Regeneration) พบในสัตว์ชั้นต่ำ ได้แก่ ปลาดาว พลานาเรีย ไส้เดือนดิน ปลิง ซีแอนนีโมนี การงอกใหม่เป็นการสร้างส่วนของร่างกายที่ขาดหายไป โดยสัตว์เหล่านี้ถ้าร่างกายถูกตัดออกเป็นส่วน ๆ แต่ละส่วนจะสามารถงอกเป็นสิ่งมีชีวิตตัวใหม่ได้ ดังนั้นการงอกใหม่นี้จึงทำให้มีจำนวนสิ่งมีชีวิตเพิ่มขึ้นจากจำนวนเดิม

4.การสร้างสปอร์ (Spore Formation) เป็นการสืบพันธุ์ที่เกิดจากการแบ่งนิวเคลียสหลาย ๆ ครั้ง ต่อจากนั้นไซโทพลาซึมจะแบ่งตาม แล้วจะมีการสร้างเยื่อกั้นเป็นส่วน ๆ แต่ละส่วนจะมีนิวเคลียส 1 อัน เรียกว่า สปอร์ (Spore) สัตว์ที่มีการสืบพันธุ์แบบนี้ ได้แก่ พลาสโมเดียม ซึ่งเป็นสัตว์ที่ทำให้เกิดโรคไข้มาลาเรีย





วันเสาร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2559

กลุ่มภาษา Gothic













ภาษา Gothic ในกลุ่ม East Germanic

ภาษา German อยู่ในกลุ่ม East Germanic
ภาษา Dutch อยู่ในกลุ่ม East Germanic
ภาษา English อยู่ในกลุ่ม East Germanic
ภาษา Danish อยู่ในกลุ่ม North Germanic
ภาษา Swedish อยู่ในกลุ่ม North Germanic






วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2559

ภาษาอังกฤษกับภาษาอื่น ๆ ในตระกูล Indo - European


ภาษากลุ่มใหญ่ ๆ ของกลุ่มอินโดยูโรเปียนมีทั้งหมด 10 กลุ่มได้แก่
1. Indian
2. Indo - Iranian
3. Amenian
4. Hellenic
5. Albanian
6. Italic
7. Blto - Slovic
8. Germanic
9. Celtic
10. Hittie and Tocharian


ชนชาติต่าง ๆ ที่ได้รับเอาวิธีการเขียนของโรมัน


ชนชาติต่าง ๆ ที่ได้รับเอาวิธีการเขียนของโรมัน
หลังจากที่โรมันได้รับการเขียนจากกรีกมาแล้ว ก็ดัดแปลงวิธีการเขียนให้เป็นแบบตัวเอง โดยมีชนชาติต่าง ๆ เช่น ฝรั่งเศส เยอรมัน สเปน ได้รับวิธีการเขียนแบบโรมันไปใช้ในภาษาของตน ส่วนพวกสลาฟที่นับถือศาสนาคริสต์จากกรุงโรม เช่น เชค สโลวัค โครทส์ ฯลฯ ใช้อักษรแบบโรมันแต่มีการดัดแปลงโดยเติมเครื่องหมายบนตัวอักษร เช่น ภาษา Polish ใช้   cํ   และภาษา Czech ใช้ cv




การเกิดอักษรโรมัน


การเกิดอักษรโรมัน

วิวัฒนาการอักษรเกิดจากการบันทึกเหตุการณ์ด้วยการวาดภาพของพวกอินเดียนแดงขาวสุเมเรียน และ พวกบาบิโลเนียน ซึ่งพวกอินเดียนแดงจะวาดภาพลงบนหนังสัตว์ใช้ในการสื่อสารระหว่างเผ่าที่ใช้ภาษาแตกต่างกัน ระหว่างปี 3,000 - 4,000 BC ชาวสุเมเรียนซึ่งตั้งถิ่นฐานอยู่ทางใต้ของเมโสโปเตเมีย ได้สลักอักษรภาพบนดินเหนียว  ทำให้เกิดเป็นรูปลิ่ม (Wedge shaped mark ) ทำให้เกิดอักษรที่เรียกว่า "Coneiform" (อักษรลิ่ม) หรือเรียกเป็นวิวัฒนาการจาก pictograph ---> ideograph ( การเขียนสัญลักษณ์แทนความคิด) 

ชาวสุเมเรียนเป็นพวกมีอิทธิพลมากที่สุดในบริวเณเมโสโปเตเมีย ต่อมาถูกกลุ่มชนเซมิติค เฃ่น ชาวลาบิโลเนีย และ อัสซีเรียเข้ามามิทธิพลแทนที่ และ รับเอาการเขียนของชาวสุมเมเรียนไปดัดแปลงให้เป็นของตนเองจน "อักษรลิ่ม" กลายเป็นภาษาเขียนของชาวตะวันออก.

มาถึงสมัยที่ใช้พู่กันและขนนก เขียนบนกระดาษ ( papyrus ) ซึ่งทำให้วิธีการเขียนง่ายขึ้น เช่น การเขียนของชาวอียิปต์ เมื่อ 3,000 BC. เรียกว่า "ไฮโรกลิฟฟิค ( Hieroglyphic )" แปลจากภาษากรีก หมายถึง holy carved เพราะชาวกรีกเชื่อว่าการเขียนอักษรนี้เพื่อจารึกเกี่ยวกับศาสนา

ประมาณ 700 BC. ชาวกรีกได้เดินทางไปยังตะวันออกและได้พบวิธีการเขียนอักษรของพวกฟีนีเชยน
( Phoenicians )  และกรีกได้รับอักษรมาและดัดแปลงให้เป็นแบบกรีกพร้อมทั้งเรียกชื่อการเขียนอักษรแต่ละตัวด้วย เช่่น A = Aleph เปลี่ยนให้เป็นกรีกลงท้ายด้วยสระ = Alpha และ B = Beth เปลี่ยนชื่อเป็น Beta

 A = Aleph --> Alpha
 B =  Beth  --> Beta

สรุปภาษาของชาวสุเมเรียน

  - ใช้รูปภาพแทนสัญลักษณ์ของคำ
  - วิวัฒนาการถึง ideogram มีอักษรลิ่ม
  - สัญลักษณ์แทนพยางค์


อักษรกรีกที่ใช้กันที่กรุงเอเธนส์ ซึ่งเรียกว่า “อักษรไอโอนิค (Ionic Alphabet)” อักษรนี้ได้กลายมาเป็นการเขียนแบบมาตรฐานของกรีก และโรมันได้รับการเขียนอักษรของกรีกจึงนำไปดัดแปลงวิธีการเขียนใหม่ให้เป็นแบบของโรมันเอง โดยชาติต่าง ๆ ในยุโรป เช่น ฝรั่งเศส เยอรมัน สเปน ได้รับเอาวิธีการเขียนแบบโรมันไปใช้ในภาษาของตน